วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การร้องทุกข์ของประชาชนในปัจจุบันและหน่วยงานและช่องทางการร้องทุกข์ในปัจจุบัน








การร้องทุกข์ของประชาชนในปัจจุบัน
       

        ในปัจจุบัน ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ระบบการปกครองที่เปลี่ยนไป มีผลทำให้การร้องทุกข์เปลี่ยนตามไปด้วย ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพมากขึ้นในหลายด้าน นั่นคือมีอำนาจหรือผลประโยชน์ที่ได้รับการคุ้มครองและรับรองตามกฎหมาย และมีความเป็นอิสระที่จะกระทำการต่างๆได้ตามความต้องการของตน  โดยไม่ละเมิดต่อผู้อื่นและไม่ผิดกฎหมาย ในเรื่องร้องทุกข์ร้องเรียน ประชาชนก็มีสิทธิในการรับข้อมูลข่าวสารและร้องเรียน อาทิเช่น

            มาตรา57 สิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐ

      “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ก่อนการอนุญาตหรือการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับตนหรือชุมชนท้องถิ่น และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว และการออกกฎที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนได้เสียสำคัญของประชาชน ให้รัฐจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ


          มาตรา59 สิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์

    “บุคคลย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์และได้รับแจ้งผลการพิจารณาภายในเวลาอันรวดเร็ว





หน่วยงานและช่องทางการร้องทุกข์ในปัจจุบัน



        ในปัจจุบัน  สังคมประชาธิปไตยมีความเปิดกว้าง ประชาชนมีอิสระในการใช้สิทธิเสรีภาพมากยิ่งขึ้น การร้องทุกข์จึงมีความหลากหลายและซับซ้อนกว่าในอดีตที่ผ่านมา นอกจากนี้ การะบบศึกษาที่พัฒนา ส่งผลให้ประชาชนรู้สิทธิของตนมากยิ่งขั้น อัตราการร้องทุกข์จึงเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ชนชั้นปกครองจึงต้องมีการแบ่งหน้าที่และเพิ่มช่องทางรับเรื่องร้องทุกข์ เพื่อตอบสนองต่อปัญหาความทุกข์ยากประชาชน ทางคณะฯได้แบ่งหน่วยงานด้านการร้องทุกข์ออกเป็น2กลุ่ม คือ หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานภาคประชาชน โดยได้เลือกหน่วยงานมาเป็นกรณีศึกษาอันได้แก่

          1. สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน

          2. กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค

          3. มูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี

          4. Change.org


1. หน่วยงานและช่องทางการร้องทุกข์ภาครัฐ

      1.1 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน


                                      ที่มาภาพ : https://webapp.ombudsman.go.th/omb_ics/


ประวัติความเป็นมาระบบผู้ตรวจการแผ่นดิน


       ในอดีตรูปแบบการเมืองการปกครองของไทยที่เก่าแก่และยืนยาวที่สุด ก็คือ ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยสมัยพ่อขุนรามคำแหง ที่ปากประตูเมืองจะมีกระดิ่งแขวนไว้ให้ประชาชนที่ทุกข์ร้อนข้องใจมาสั่นกระดิ่ง และเมื่อพ่อขุนรามคำแหงผู้เป็นเจ้าเมืองได้ยินก็จะเรียกมาถาม และพิจารณาตัดสินหาความชอบธรรมให้ ต่อมา เมื่อมีการพัฒนาการเมืองการปกครอง ความใกล้ชิดระหว่างผู้มีอำนาจบริหารระดับสูงกับราษฎรมีความเหินห่างมากขึ้น อีกทั้งความสลับซับซ้อนในวิธีปฏิบัติทางการปกครองเพิ่มขึ้น จึงเกิดแนวความคิดที่จะควบคุมฝ่ายบริหารโดยผ่านกลไกพิจารณาตรวจสอบหรือการรับเรื่องราวร้องทุกข์ของฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งถือว่าเป็นผู้แทนที่ ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน
           
          ในปี พ.ศ. 2517 คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้มี ผู้ตรวจราชการแผ่นดินของรัฐสภา ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปีพุทธศักราช 2517 แต่ในขั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีการปรับปรุงร่าง รัฐธรรมนูญโดยตัด ในส่วนของผู้ตรวจการแผ่นดินออกไป

           ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 คณะกรรมาธิการการปกครอง และคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับสถาบันนโยบายศึกษา สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย ได้จัดสัมมนาเรื่องผู้ตรวจการรัฐสภาขึ้น โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมการสัมมนาเกือบ 80 คน นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการระดมความคิดเห็นอย่างเป็นทาง การ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดตั้งผู้ตรวจการรัฐสภา

              นับแต่นั้นเป็นต้นมาได้มีการจัดสัมมนา มีการอภิปรายและเผยแพร่แนวความคิดทางสื่อสารมวลชน ต่างๆ มากขึ้น แต่แนวคิดดังกล่าวยังคงรับรู้อยู่ในกลุ่มสมาชิกรัฐสภา นักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิส่วนหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ จึงเกิดแรงผลักดันอย่างจริงจังในการที่จะบัญญัติสถาบันผู้ตรวจการรัฐสภาไว้ ในรัฐธรรมนูญของประเทศไทย โดยแก้ไขเพิ่มเติมรัฐ ธรรมนูญพุทธศักราช 2534 ฉบับที่ 5 ปีพุทธศักราช 2538 โดยบัญญัติในมาตรา 162 ทวิ ดังนี้

               พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ตรวจการรัฐสภามีจำนวนไม่เกินห้าคน ตามมติของรัฐสภาและให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งผู้ตรวจการรัฐสภา

               เนื่องจากไม่มีบทบังคับในเรื่องระยะเวลาการดำเนินการ ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ใช้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวจึงไม่มีการแต่งตั้งผู้ตรวจการรัฐสภาขึ้น

               อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากมีกระแสผลักดันให้มีการปฏิรูปการเมือง จนกระทั่งได้นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 ฉบับที่ 6 แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช 2539 โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 211 ในเรื่องการตั้งคณะกรรมการสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น การจัดตั้งระบบผู้ตรวจการแผ่นดินจึงประสบความสำเร็จโดยใช้ชื่อว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินของ รัฐสภา และได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 หมวด 6 รัฐสภา ส่วนที่ 7 ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา มาตรา 196 มาตรา 197 และมาตรา 198 และกำหนดให้มีการตราพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เพื่อรองรับและกำหนด รายละเอียดในการปฏิบัติ ซึ่งรัฐสภาก็ได้ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว และประกาศใช้เป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ. 2542 ขึ้น

               เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2543 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายพิเชต สุนทรพิพิธ เป็นผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาคนแรกของประเทศไทย และต่อมาใน วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2543 ได้มีคำสั่งผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาแต่งตั้งให้นายปราโมทย์ โชติมงคล เป็นเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาคนแรกของประเทศไทย และให้ถือว่า วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2543 เป็นวันก่อตั้งสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาอีกด้วย ต่อมาได้มีการคัดเลือกผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาอีก 2 คน คือ นายพูลทรัพย์ ปิยะอนันต์ และ พลเอกธีรเดช มีเพียร ซึ่งบัดนี้ได้ครบวาระการดำรงตำแหน่งไปแล้ว กรณี พลเอกธีรเดช มีเพียร นั้น ได้ดำรงตำแหน่งประธานผู้ตรวจการแผ่นดินคนแรก

               ต่อมา เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร โดยคณะบุคคลที่เรียกว่า คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)และได้มีการประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งโดยหลักการแล้วพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญย่อมต้องถูกยกเลิกไปด้วย แต่ คปค.ได้มีประกาศ คปค. ฉบับที่ 14 ลงวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2549 ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภามีอยู่ต่อไป โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการรับเรื่องร้องเรียนและการบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นไปอย่างต่อเนื่อง คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงมีประกาศให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ. 2542 มีผลบังคับใช้ต่อไปจนกว่าจะมีประกาศเป็น อย่างอื่น ซึ่งทำให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภายังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเพื่อแก้ไขความทุกข์ร้อนให้แก่ประชาชน

               หลังจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ถูกยกเลิก ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 โดยบัญญัติให้มีสภาร่างรัฐ ธรรมนูญ เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับสำหรับเป็นแนวทางในการปกครองประเทศ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางทุกขั้นตอน เมื่อการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จและจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ผลปรากฏว่าประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติเห็นชอบให้นำร่างรัฐธรรมนูญมาใช้บังคับ โดยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งยังคงระบบผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยบัญญัติให้เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญองค์กรหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐต่อไป พร้อมทั้งมอบอำนาจหน้าที่เพิ่มเติมให้อีกหลายประการ และมีการเปลี่ยนแปลงชื่อจาก ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เป็น ผู้ตรวจการแผ่นดิน

               ปัจจุบันมีผู้ตรวจการแผ่นดินทั้งหมด 2 คน ประกอบด้วย พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ผู้ตรวจการแผ่นดินปฏิบัติหน้าที่แทนประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และนายบูรณ์ ฐาปนดุลย์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน


บทบาท อำนาจ และหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน

        อำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ที่ได้กำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่เพิ่มเติมจากเดิมประกอบด้วย
มาตรา ๒๔๔ ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

       (๑) พิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนในกรณี

                 (ก) การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น

                 (ข) การปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้าง ของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนหรือประชาชนโดย ไม่เป็นธรรม ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ก็ตาม

                 (ค) การตรวจสอบการละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขององค์กร ตามรัฐธรรมนูญและองค์กรในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ไม่รวมถึงการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาล

                 (ง) กรณีอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ

        (๒) ดำเนินการเกี่ยวกับจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๒๗๙  วรรคสาม และมาตรา ๒๘๐

        (๓) ติดตาม ประเมินผล และจัดทำข้อเสนอแนะในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ รวมตลอดถึง ข้อพิจารณาเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าจำเป็น

        (๔) รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่พร้อมข้อสังเกต ต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาทุกปี ทั้งนี้ ให้ประกาศรายงานดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาและเปิดเผยต่อสาธารณะด้วย
  
          การใช้อำนาจหน้าที่ตาม (๑) (ก) (ข) และ (ค) ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการเมื่อมีการร้องเรียน เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าการกระทำดังกล่าวมีผลกระทบต่อความเสียหายของประชาชนส่วนรวมหรือเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจพิจารณาและสอบสวนโดยไม่มีการร้องเรียนได้

            มาตรา ๒๔๕ ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้ เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้

        (๑) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
        (๒) กฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดของบุคคลใดตามมาตรา ๒๔๔ (๑) (ก) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง และให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

การร้องเรียน











        การร้องเรียนในปัจจุบันจะเป็นประชาชนเป็นส่วนใหญ่ และมีหน่วยงานภาครัฐในบางกรณี จะมีที่รับได้60% และรับไม่ได้40% (นอกเหนือจากอำนาจที่มีอยู่) โดยส่วนใหญ่จะติดต่อมาโดยตรงมากที่สุด ออนไลน์รองลงมา และสายด่วนน้อยที่สุด และส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาที่ประชาชนไม่สามารถแก้ไขได้เอง แม้ว่าจะเป็นปัญหายุบยิบ ก็เป็นสิทธิอันพึงมีพึงได้ของประชาชน อัตราการร้องทุกข์ร้องเรียนเพิ่มขึ้นทุกๆปี อาจเกิดจากการศึกษาที่พัฒนา ทำให้ประชาชนรู้สิทธิของตัวเองมากขึ้น จากที่ได้กล่าวมา ผนวกกับช่องทางการร้องเรียนที่กว้างขึ้น คาดว่าอนาคตปัญหาจะลดลง         (ธนพล ธนวิชรนนท์)



ขั้นตอนการพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน

1.รับเรื่องและตรวจสอบพิจารณารับคำร้อง
2.การแสวงหาข้อเท็จจริง
3.การวินิจฉัยคำร้องเรียน
4.การสรุปข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมาย
5.การติดตามผลการปฏิบัติตามคำวินิจฉัย

ช่องทางร้องเรียน
·       ร้องเรียนทางอินเตอร์เน็ต ที่ https://webapp.ombudsman.go.th/omb_ics/
·       ร้องเรียนทางโทรศัพท์  การร้องเรียนทางสายด่วน 1676 ช่องทางโทรศัพท์หมายเลข 1676 (โทรฟรีทั่วประเทศ) หรือหมายเลข 0-2141-9100
·       ร้องเรียนทางไปรษณีย์ การร้องเรียนทางไปรษณีย์ โดยลงชื่อผู้ร้องเรียน ที่อยู่ โทรศัพท์ (หรือโทรศัพท์ใกล้บ้านที่ติดต่อได้) ผู้ถูกร้องเรียน และเหตุที่ร้องเรียน หากต้องการปกปิดชื่อผู้ร้องเรียน ขอให้ระบุ สำนักงานฯ จะรักษาเป็นความลับอย่าง เคร่งครัด โดยส่งไปยัง สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารบี ชั้น 5 เลขที่ 120 หมู่ที่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทร. 0-2141-9100 หรือ 1676 โทรสาร 0-2143-8341
·       ร้องเรียนผ่าน ส.ส. หรือ ส.ว. การร้องเรียนผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หรือสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในเขตพื้นที่ของผู้ร้องเรียน ซึ่ง ผู้ตรวจการ แผ่นดินได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ไปรับเรื่องร้องเรียนที่อาคารรัฐสภา ในช่วงเปิดสมัยประชุมสภาด้วย
·       ร้องเรียนผ่านเครือข่ายของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน  ร้องเรียนผ่านเครือข่ายของผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้แก่ สภาทนายความ และสำนักงาน สาขาของสภา ทนายความทั่วประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ ประชาชน (สคช.) สำนักงานอัยการจังหวัด ทั่วประเทศ
·       ร้องเรียนด้วยตนเอง การร้องเรียนด้วยตนเองได้ที่
สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารบี ชั้น 5 เลขที่ 120 หมู่ที่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทร. 0-2141-9100 หรือ 1676 โทรสาร 0-2143-8341



      1.2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค

            คณะรัฐมนตรี ได้มีมติ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2547 ให้โอนภารกิจของกองบังคับการทะเบียน หรือชื่อย่อว่า บก.ท. ไปยังหน่วยงานอื่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในปี พ.ศ.2548 ได้มอบหมายให้กองทะเบียนในขณะนั้น รับผิดชอบการปฏิบัติภารกิจด้านการสืบสวนสอบสวน และจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคทั่วราชอาณาจักร

        ต่อมา เมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ.2552 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานใหม่ ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2552

        กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการ หรือ ส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2552 และระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2552 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ บก.ปคบ. จึงได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค

        กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมปฏิบัติตาประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาและสืบสวนการกระทำผิดที่มีโทษทางอาญาเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค มาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม อาหารและยาทั่วราชอาณาจักร รวมทั้งปฏิบัติงานร่วมกัน หรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย อันได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (HYPERLINK "https://www.egov.go.th/"สคบ.HYPERLINK "https://www.egov.go.th/") กระทรวงสาธารณสุข สำนักคณะกรรมการอาหารและยา (HYPERLINK "http://www.fda.moph.go.th/"อย.HYPERLINK "http://www.fda.moph.go.th/") และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)








    การร้องเรียนในปัจจุบันจะเป็นประชาชนเป็นส่วนใหญ่ และมีหน่วยงานภาครัฐในบางกรณี โดยจะรับในกรณีที่เป็นอาญา ส่วนกรณีแพ่งจะส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆดำเนินการ การติดต่อของประชาชนมี2ลักษณะ คือ เลื่อนลอย ขอคำปรึกษา และเรื่องราว ต้องเร่งดำเนินการ ปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาที่ประชาชนรับรู้ แต่นิ่งเฉย และจะดำเนินการก็ต่อเมื่อมีผลกระทบต่อตัวองโดยตรง อัตราการร้องทุกข์ร้องเรียนเพิ่มขึ้นในทุกๆปี อาจเกิดจากการศึกษาที่พัฒนา ทำให้ประชาชนรู้สิทธิของตัวเองมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าบทบาทหน้าที่และช่องทางการร้องเรียนก็ต้องขยายตัวตามเช่นกัน       (พ.ต.ท.ดร.ณัฐพล สิปิพันธ์)


 2. หน่วยงานและช่องทางการร้องทุกข์ภาคประชาชน


2.1 มูลนิธิ ปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี







ประวัติและความเป็นมาของมูลนิธิ ปวีณา หงสกุลเพื่อเด็กและสตรี


       "การละเมิดสิทธิของเด็กและสตรี เป็นปัญหาที่สำคัญและหยั่งรากลึกในสังคมไทย ผู้ที่ด้อยโอกาสมักจะได้รับการกดขี่ข่มเหงจากผู้ที่มีอำนาจมากกว่าอยู่เสมอ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคน ในการช่วยกันสอดส่องดูแลเพื่อไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ การทำร้าย การทารุณกรรม เกิดขึ้นในหมู่ของสตรีและเด็ก ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่อ่อนแอในสังคม"

       "มูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี" เป็นมูลนิธิที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ด้อยโอกาสโดยไม่หวังผลกำไร โดยมี นางปวีณา หงสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตกรุงเทพ ฯ (6 สมัย) เป็นทั้งผู้ก่อตั้งและประธานของมูลนิธิ ฯ " นางปวีณา หงสกุล เริ่มก่อตั้งมูลนิธิ ฯ ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2542 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกละเมิดสิทธิ และถูกทารุณกรรมในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนการฟื้นฟูด้านร่างกายและจิตใจ และดำเนินการเรื่อยมา... จากผลการปฏิบัติงานของชุดเฉพาะกิจ ส.ส.ปวีณา หงสกุล เพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรีได้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง และได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกฃนให้ความร่วมมือด้วยดีตลอดมา เพราะประชาชนเป็นจำนวนมากที่ถูกละเมิดสิทธิ์ และผู้พบเห็นได้มาร้องเรียน เพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีถูกละเมิดสิทธิ เช่น ล่อลวงค้าประเวณี ข่มขืน ทารุณกรรม ฯลฯ และท่านได้ร่วมออกไปปฏิบัติการช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกละเมิดสิทธิ ทันต่อเหตุการณ์ และสามารถนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้

   วัตถุประสงค์

1. เพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกละเมิดสิทธิ และถูกทารุณกรรมในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนการฟื้นฟูด้านร่างกายและจิตใจ

2. เพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ได้รับเคราะห์กรรมและไร้ที่พึ่ง ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข

3. เพื่อส่งเสริมและพัฒนารายได้ เสริมทักษะแก่เด็กที่ยากไร้และด้อยโอกาส

4. เพื่อส่งเสริมกิจกรรมด้านวัฒนธรรมไทย

    ช่องทางติดต่อ ร้องเรียน ขอความช่วยเหลือ กับมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี

1. โทรสายด่วน : 1134 , 02-577-0500-1 , 02-577-0496-8 แฟกซ์ 02-577-0499 เวลาทำการจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-17.30 น.
นอกเวลาทำการติดต่อ 062-560-1636
, 098-478-8991, 081-814-0244
2. โทรสาร: 02-577-0499
3. Email pavena1134@hotmail.com
4.
ส่งจดหมาย ที่ตู้ ปณ. 222 ธัญบุรี.
5. เดินทางร้องเรียน ขอความเป็นธรรมได้ด้วยตนเอง ที่ มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี (องค์กรสาธารณประโยชน์)
ตั้งอยู่เลขที่ 84/14 หมู่ 2 ถ.รังสิต-นครนายก (คลอง 7) ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 12110

*** สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของ "มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี" ได้ทาง Facebook: มูลนิธิปHYPERLINK "https://web.facebook.com/%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5-556976331059660/?ref=page_internal"วีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ***                                                                                     





    ขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือ

"มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี" (องค์กรสาธารณประโยชน์) รับเรื่องราวร้องทุกข์เฉลี่ยวันละ 50-70 ราย มีขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือ 6 ขั้นตอน ดังนี้

    1. กรอกแบบฟอร์มใบรับเรื่องราวร้องทุกข์ พร้อมบรรยายถึงรายละเอียดสิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือ (HYPERLINK "http://www.pavenafoundation.or.th/images/PavenaFoundataion/Cases/example/compliant_form.pdf"ดาวน์โหลดแบบฟอร์มเรื่องราวร้องทุกข์)
    2. เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องพร้อมสอบถามข้อเท็จจริง
    3. เจ้าหน้าที่รับเรื่องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น
    4. ผู้บังคับบัญชาประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
    5. ส่งชุดเฉพาะกิจลงพื้นที่ครวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือ

        - หากพบว่าเรื่องที่ร้องทุกข์มีมูลความจริง ผู้บังคับบัญชาจะประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ เพื่อบูรณาการและเร่งหาทางช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ซึ่งในแต่ละขั้นตอนจะมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณาฯ คอยอำนวยความสะดวกในการพาผู้เสียหายไปดำเนินการ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

        - หากพบว่าข้อมูลไม่ชัดเจน เจ้าหน้าที่จะแจ้งให้ผู้ร้องทุกข์ทราบถึงผลการลงตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่ ว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามที่ร้องทุกข์แต่อย่างใด ในชั้นนี้หากผู้ร้องทุกข์มีข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถนำมามอบให้เจ้าหน้าที่เพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมได้

    6. บำบัดฟื้นฟูและช่วยเหลือทางกระบวนการยุติธรรม มูลนิธิปวีณาฯ จะช่วยบำบัดฟื้นฟูสภาพจิตใจให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข รวมทั้งคอยอำนวยการช่วยเหลือทางกระบวนการยุติธรรมไปจนกว่าคดีจะเสร็จสิ้น

ผลการดำเนินงานประจำปี 2558

วันที่ 29 ธ.ค. 58 นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี (องค์กรสาธารณประโยชน์) แถลงสรุปผลการดำเนินงานช่วยเหลือเด็กและสตรีผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมในรูปแบบต่างๆ ประจำปี 2558 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง วันที่ 28 ธันวาคม 2558  โดยปัญหาหลักที่มีการติดต่อเข้ามากมากที่สุด มีดีงนี้
    1.ปัญหาครอบครัว 751 ราย
    2.ทารุณกรรม/ทำร้ายร่างกาย 725 ราย
    3.ทารุณกรรม/กักขัง 725 ราย
    4.ข่มขืน/อนาจาร 656 ราย
    
        “การร้องเรียนในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะเป็นกรณีที่ต้องเร่งดำเนินการ ซึ่งจะเป็นปัญหาที่ประชาชนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง อาทิเช่น ปัญหาการใช้ความรุนแรงภายในครอบครัว คนไทยมีอุปนิสัยดั้งเดิมคือรักความสบาย หลีกเลี่ยงปัญหา การที่จะร้องเรียนจึงจะเป็นกรณีร้ายแรงเป็นส่วนใหญ่  (ปวีณา หงสกุล)


2.2 Change.org


ที่มาภาพ : http://www.quotationof.com/bio/ben-rattray.html


ที่มาภาพ : http://www.atotaldisruption.com/ben-rattray/

       Change.org  คือ เว็บไซต์ที่มีความสามารถพิเศษอย่างการประยุกต์เครื่องมือของนักอาสาสมัครรุ่นเก่า ที่เรียกว่า “การร้องเรียน” เข้ากับเครื่องมือแห่งความทันสมัยในโลกยุคดิจิตัลอย่างเว็บไซต์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นความสามารถในการเข้าถึงและเปิดเวทีในการสร้างสรรค์การร้องเรียนในเรื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้
ภารกิจของ Change.org คือส่งเสริมพลังให้ผู้คนจากทุกที่ทั่วโลกเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาต้องการเห็น Change.orgเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดในการดำเนินการตามภารกิจนี้ให้สำเร็จคือการเป็นบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังแห่งธุรกิจที่สร้างสรรค์สิ่งดีงามให้สังคม และนโยบายของ Change.org คือ สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ปกป้องคุณและชุมชนโดยรวม และช่วยให้คุณสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ต้องการ

         โดยผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อันเต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์นี้คือ Ben Rattray ด้วยเจตนาที่ดีกับการเลือกใช้เทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนโลกนั้นไม่ได้เป็นย่างก้าวที่ง่ายดาย “การร้องเรียนในโลกออนไลน์” มีอะไรมากกว่าการรวบรวมรายชื่อหรือการออกหนังสือแสดงวัตถุประสงค์ Change.org ลงมือทำมากกว่าด้วยการสร้างเครื่องมือสำหรับเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงในระดับปฏิวัติ พร้อมบอกกับทุกคนที่ร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงนี้ว่า เราต่างไม่ได้ต่อสู้กันอยู่เพียงลำพังอีกต่อไป

       อย่าประมาทพลังแห่งการปฏิวัติรายบุคคล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือหน่วยงานทั่วไป คนกลุ่มนี้จะยอมรับฟังความเป็นไปที่ไม่ถูกที่ถูกทาง ก็ต่อเมื่อมีรายชื่อนับพันจากการร่วมลงชื่อของผู้คนในเว็บไซต์ change.org นี่ยังนับรวมไปถึงกองทัพผู้สนับสนุนในเฟซบุ้คและทวิตเตอร์อีกมหาศาล และพลังยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่ทางที่ดีปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์อีกเล็กน้อย

Change.org คือ การเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงขนาดเล็ก โดยมวลชนขนาดใหญ่  
       “เมื่อไหร่ที่คุณเขียนถึงประเด็นที่คุณสนใจ แม้มันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ หรือเป็นประเด็นในพื้นที่ที่จำกัด แต่เมื่อใดที่มีผู้คนสนใจและร่วมสนับสนุน นั่นคือจุดเริ่มต้นของชัยชนะ”   (Ben Rattray)

        เอกลักษณ์ของ change.org ไม่ได้เป็นเรื่องของ “ตัวเลขรายชื่อจำนวนเล็กน้อยกับแคมเปญระดับมวลชน” แต่ต้องแก้ไขให้ถูกต้องคือ “ตัวเลขรายชื่อของมวลชนกับแคมเปญขนาดเล็ก” และด้วยจำนวนผู้ใช้งานมากถึง 35 ล้านคน ใน 196 ประเทศ ในทุกๆ วันมีคนใช้ change.org เป็นเครื่องมือการเปลี่ยนแปลงสังคมของตนเองและผู้อื่น ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น  ระดับชาติ ไปจนถึงระดับโลก แคมเปญรณรงค์กว่าพันรายการเริ่มต้นจากผู้คนเหล่านี้ ผสานกับพลังของผู้ร่วมสนับสนุนที่ต้องการเห็นชัยชนะแห่งการลงมือทำในสิ่งที่ถูกต้อง มองเห็นคุณค่าของโอกาสสำหรับสร้างความแตกต่างเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น จากปัญหาการรวมตัวเพื่อเรียกร้องความถูกต้องในอดีต ที่ต้องอาศัยทั้งงบประมาณ เวลา ขั้นตอนการร้องเรียนที่สุดจะซับซ้อน แต่ในวันนี้ที่เทคโนโลยีทำให้ความยุ่งยากเหล่านี้ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป 



ที่มาภาพ : http://www.quotationof.com/ben-rattray.html



2 ความคิดเห็น:

  1. ถ้าโดน ตำรวจ อัยการ ศาล รวมหัวตัดสินคดีโดยไม่อิงตัวบทกฏหมายเพื่อช่วยคนผิดเเถมปิดเรื่องชั่วกันทั้งประเทศยังทำได้ การร้องทุกข์ของประชาชนเป็นการทำให้ประเทศนี้ดูดีเท่านั้น ตัวอย่างศาลนนท์ ศาลทุ่งสง ตัดสินคดีจันไรสุดๆไม่อิงตัวบทกฏหมายเลย ศาลโคตรตกต่ำเลยเมื่อเห็นเงินความถูกผิดเลยไม่มีปกปิดความชั่วกันเข้าไป

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ31 มกราคม 2565 เวลา 22:57

    Casino Site | LuckyClub
    Casino site. Casino. 3131 St. James Way. Brooklyn, NY 50607. luckyclub.live (833) 897-9701. Visit Website. http://www.jackpotcity.com/. Find more promotions and benefits!

    ตอบลบ